ครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทยสำหรับการจัดกิจกรรมทดสอบกระบะ ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนเรชันใหม่ ภายใต้แนวคิด ‘Unlimit Your Experience’ บนเส้นทางภูเก็ต – พังงา – กระบี่ ซึ่งการทดสอบครั้งนี้มีสื่อมวลชนจากทั่วโลกเดินทางมาทดสอบที่ประเทศไทย สะท้อนถึงความสำคัญของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวของ ฟอร์ด โดยมีทีมวิศกรและนักออกแบบรถฟอร์ดจากประเทศออสเตรเลียและไทย เข้าร่วมให้ข้อมูลในกิจกรรมครั้งนี้
ฟอร์ด โชว์ยอดจอง ‘ฟอร์ด เจเนอเรชั่น ใหม่’ 3 รุ่น 2 สัปดาห์ 3,500 คัน
เผยยอด Ford F-150 Lightning กระบะไฟฟ้า 2 แสนคัน พร้อมกดปุ่มเริ่มผลิต
ฟอร์ด ได้ให้คำนิยามรถกระบะคันนี้ว่า เป็นรถกระบะที่ชาญฉลาดที่สุด สมบุกสมบันที่สุด ซึ่งครั้งนี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ ได้ใส่เอา ระบบเทคโนโลยีและอุปกรณ์ทันสมัมาแบบแน่นๆ เลย เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานของผู้ขับขี่ และเจาะกลุ่มผู้ที่ต้องการใช้รถเพื่อการทำงาน เป็นรถสำหรับครอบครัว และการเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อน
ข้อมูลด้านยอดขายล่าสุด ฟอร์ด ประเทศไทย ระบุว่า ขณะนี้มีผู้จองรถกระบะ ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชั่นใหม่ ณ วันที่ 30 เมษายน 2565 จำนวน 3,447 คัน แบ่งเป็น ฟอร์ด เรนเจอร์ 1,472 คัน และ ฟอร์ด เรนเจอร์ แร๊พเตอร์ 1,975 คัน
PPTV Online เข้าร่วมทดสอบรถกระบะ ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชั่นใหม่ ในกิจกรรมนี้ ซึ่งต้องบอกว่านับตั้งแต่วันเปิดตัวในช่วง บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43 ซึ่งเรามีโอกาสได้ไปลองสัมผัสกันในงาน ในวันนั้นก็เห็นถึงความแตกต่างเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด ด้วยความล้ำสมัยของการใส่เอาเทคโนโลยีและการดีไซน์ที่มีความอึดถึกบึกบิน ขนาดใหญ่โตอลังการมากยิ่งขึ้น โดยในวันนั้นเป็นเพียงแต่การสัมผัสตัวรถภายในงานเพียงอย่างเดียว กระทั่งถึงวันนี้ได้ทดลองการใช้งานจริงบนถนนและบนสถานีต่าง ๆ ที่ ฟอร์ด ออกแบบขึ้นมาเพื่อรีดสมรรถนะและศักยภาพของรถกระบะคันนี้ออกมาให้เห็น
ในครั้งนี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ ที่เราได้ขับในกิจกรรมนี้เป็นรุ่นท็อปสุด Ford Ranger Wildtrak Double Cab (4 ประตู) ขับเคลื่อน 4 ล้อ (4X4) เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ (Bi-Turbo) เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ราคาค่าตัว 1.299 ล้านบาท
เรื่องการดีไซน์ทั้งภายนอกและภายในจะไปกันอย่างเร็ว ๆ พร้อมจะแนบวีดิโอรีวิวไว้ให้ตามลิงค์ ด้านล่างนี้
ชมรถคันจริง ! ฟอร์ด 3 รุ่น เจเนอเรชั่นใหม่ ครั้งแรกในประเทศไทย ที่งานมอเตอร์โชว์ 2022
ต้องบอกเลยว่า มิติตัวถังของรถกระบะคันนี้ มาพร้อมกับขนาด 1,918×5,370×1884 มม. (กว้างxยาวxสูง) พร้อมความยาวช่วงล้อ 3,270 มม. ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงการวางระยะฐานล้อยาวขึ้นและกว้างขึ้น 50 มม. และขยับการวางตำแหน่งล้อด้านหน้าให้ไปทางด้านหน้ามากยิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มระยะมุมเงยมุมจากขณะขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนั้น หลัก ๆ ดีไซน์ภายนอก ยังมีการเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ นอกเหนือจากการดีไซน์หลัก เช่น การติดตั้งพื้นปูกระบะที่คิดมาให้แล้วทั้งหมดสำหรับการวางสิ่งของต่าง ๆ รวมถึงการมีช่องจ่ายไฟ 12V และช่องเสียบปลั๊ก อีกทั้งช่องใส่ ซีแคลมป์ (C-Clamp) สำหรับการจับชิ้นงานที่ฝากระบะ ยังไม่นับกับ ราวหลังคา, บันไดข้าง และ ราวกระบะท้าย สีเงินตัดกับตัวรถ อีกทั้งยังมีการเจาะรูที่กระบะท้ายจำนวน 6 รู สำหรับเผื่อไว้ให้นำไปติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ เพิ่มเติม
ดีไซน์ภายในใหม่ทั้งหมดทุกจุด เส้นสายรายละเอียดการวางตำแหน่งสวยงามถูกใจ มองด้วยความรู้สึกแล้วยังไม่ทิ้งความเป็นกระบะแต่ที่เด่นขึ้นมาคือความพรีเมี่ยมหรูหรา ทั้งคุณภาพวัสดุที่ใช้และการออกแบบ แต่หลัก ๆ ที่ต้องพูดถึงเลย คือ หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 12 นิ้ว แนวตั้ง เด่นตระหง่านที่คอลโซลกลาง ซึ่งเป็นหน้าจอคุณภาพสูงแสดงผลคมชัด ซึ่งรองรับระบบเชื่อมต่อการสื่อสารผ่านระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุดของฟอร์ด ในการเชื่อมต่อบลูทูธและสั่งการด้วยเสียง
ขณะที่ หน้าจอดังกล่าวนี้ยังทำหน้าที่ในการสั่งการระบบต่าง ๆ ภายในตัวรถได้ อาทิ กล่อง 360 องศา ซึ่งต้องบอกว่าคมชัดสมจริงมาก พร้อมเส้นไกด์หมุนตามพวงมาลัยอีกด้วย, ระบบปรับอากาศแบบแยกส่วนปรับได้ในจอ เป็นต้น ยังมีอื่น ๆ อีกมากมาย โดยนี่น่าจะเป็นหนึ่งเดียวในตลาดกระบะเวลานี้ที่มีจอใหญ่ขนาดนี้และใส่เอาระบบเทคโนโลยีความล้ำสมัยมาเพียบ
เข้าเรื่องหลักและสาระสำคัญในเรื่องสมรรถนะด้านการขับขี่กันเลยดีกว่า เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ (Bi-Turbo) ให้กำลังสูงสุด 210 แรงม้า ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ต้องบอกเลยว่าแรงดุดันเร้าใจเช่นเคยแต่สิ่งที่ได้เพิ่มเติมขึ้นมาคือ ความไหลลื่นต่อเนื่องของเกียร์ที่มองว่าทำงานดีขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนที่ดีอยู่แล้ว ซึ่งตลอดเส้นทางมีทางคดโค้งสลับขึ้นเขาอยู่ตลอดเวลาแสดงให้เห็นถึงพลังกำลังที่เหลือเฟือไม่มีอาการปรับเกียร์ลงเพื่อช่วยส่งกำลังให้เห็นเลย แม้กระทั่งในช่วงสถานีที่ฟอร์ดจัดไว้ในการไต่เนินชัดนั่นเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงแรงบิดส่งกำลังในช่วงรอบเดินเบาความเร็วต่ำ
สรุปเหรียญ ซีเกมส์ 2021 ล่าสุด ประจำวันจันทร์ที่ 16 พ.ค. 65
โปรแกรมถ่ายทอดสดซีเกมส์ 2021 นักกีฬาไทย ประจำวันจันทร์ที่ 16 พ.ค. 65
โควิด 10 จังหวัดป่วยสูงสุด กทม. รองลงมาสุรินทร์-บุรีรัมย์
สถานีต่าง ๆ ที่ ‘ฟอร์ด เรนเจอร์ วิลล์’ (Ford Ranger Ville) สนามออฟโรดที่ออกแบบเป็นพิเศษเพื่อทดสอบสมรรถนะและการเลือกใช้โหมดการขับขี่ที่ติดตั้งมาในรถฟอร์ด เรนเจอร์ เป็นครั้งแรก ได้แก่
สถานีที่ 1 การพิชิตเนินชัน ‘Hill Maneuvering’ โดยใช้โหมดการขับขี่ปกติ (Normal mode) คู่กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) รวมถึงทดสอบความโดดเด่นของสมรรถนะช่วงล่าง และการไต่ลงเนินชันด้วยระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control) ที่ช่วยปรับความดันเบรกอย่างต่อเนื่อง ลดการลื่นไหลและรักษาความเร็วให้คงที่เมื่อขับลงทางลาดชัน จึงให้ความสนใจกับการควบคุมพวงมาลัยได้อย่างเต็มที่ ด้วยมุมจากด้านหลัง 23 องศา (เพิ่มจาก 21 องศาในรุ่นก่อนหน้า) ด้วยฐานล้อที่กว้างและยาวขึ้นของฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ช่วยเพิ่มความมั่นคงในการขับขี่ ช่วยให้ควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สถานีที่ 2 ต่อเนื่องด้วยการขับผ่านแอ่งน้ำ ‘Water Wading’ ด้วยความสามารถในการลุยน้ำลึกได้สูงสุด 800 มิลลิเมตร โดยในสถานีที่ 1 และ 2 นี้ ได้ใช้กล้องมองรอบคัน 360 องศา เพื่อช่วยมองอุปสรรคที่อยู่นอกตัวรถระหว่างการขับขี่ได้อย่างชัดเจน
สถานีที่ 3 ได้ใช้โหมดการขับขี่บนถนนลื่น (Slippery Track) โดยระบบจะช่วยกระจายแรงบิดของเครื่องยนต์ไปยังทั้ง 4 ล้อเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่บนถนนลื่นหรือพื้นถนนที่ไม่สม่ำเสมอ และยังได้สัมผัสถึงมุมมองในการขับขี่ในพื้นที่แคบที่ดีขึ้นด้วยการออกแบบดีไซน์ฝากระโปรงหน้าใหม่ที่ช่วยให้กะระยะในการผ่านอุปสรรคต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงการใช้กล้องมองรอบคัน 360 องศา เป็นตัวช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นด้านนอกรถให้ควบคุมทิศทางของพวงมาลัยและบังคับทิศทางของรถให้ผ่านอุปสรรคบนเส้นทางได้
สถานีที่ 4 ทางโคลน (Mud Track) เป็นการขับขี่ด้วยโหมดโคลน (Mud Mode) โดยใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) พร้อมโชว์การทำงานของระบบล็อกเฟืองท้าย (Locking rear differential) ที่ช่วยถ่ายเทกำลังของเครื่องยนต์ไปยังล้อทั้ง 4 ทำให้ผ่านเส้นทางโคลนหรือถนนลื่นๆ ไปได้อย่างง่าย
สถานีที่ 5 พื้นกรวด ‘Loose Surface’ ด้วยการปรับโหมดการขับขี่กลับสู่โหมดการขับขี่บนถนนลื่น (Slippery mode) เพื่อทดสอบการขับขี่บนพื้นผิวถนนที่เป็นทางหินกรวด เพื่อกำลังของเครื่องยนต์ และการตอบสนองของระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ความนุ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์ขณะใช้รอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้นขณะขับขี่ที่ความเร็วสูง
สถานีที่ 6 ขับขี่ลุยทางหิน ‘Rocky Terrain’ ใช้โหมดการขับขี่ปกติ (Normal mode) พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4L) และระบบล็อกเฟืองท้าย (Locking rear differential) เพื่อทดสอบแรงบิดของเครื่องยนต์ในรอบต่ำ และอัตราทดเกียร์ รวมถึงความสูงใต้ท้องรถและระบบช่วงล่างที่นุ่มนวล
ต่อด้วยการขับขี่บนสภาพเส้นทางที่เป็นพื้นทราย ‘Sand Track’ ในสถานีที่ 7 ด้วยการใช้โหมดทราย (Sand mode) ได้สัมผัสถึงระบบความคุมเสถียรภาพการทรงตัว และการกระจายแรงบิดของเครื่องยนต์ที่ทำให้รถผ่านอุปสรรคไป
สถานีที่ 8 ลุยทางออฟโรด (Off-Road Maneuvering) โดยใช้โหมดปกติ (Normal mode) พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4H) ทดสอบการควบคุมพวงมาลัย การทรงตัวของรถ และความทรงพลังของเครื่องยนต์ แรงบิดและอัตราทดเกียร์ โชว์ให้เห็นถึงสมรรถนะในการขับขี่ออฟโรดโดยรวมที่ดีขึ้นด้วยมุมเงยที่ 30 องศา (เพิ่มจาก 28.5 องศาในรุ่นก่อนหน้า)
บททดสอบเหล่านั้น ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชั่นใหม่ ทำได้ดียิ่งขึ้นฉลาดยิ่งขึ้น ทั้งการปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่และโหมดขับเคลื่อนจากเดิม รวมถึงการพัฒนาของกล่อง ECU ทำให้การทำงานต่าง ๆ ราบรื่นลงตัว
สำหรับช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กันโคลงพร้อมโช๊คอัพแบบโมโนทูป ส่วนช่วงล่างด้านหลังแบบแหนบซ้อนพร้อมโช๊คอัพโมโนทูป ส่วนเบรกมาพร้อมดิสก์เบรก 4 ล้อ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว 255/65/R18 และพวงมาลัยพาวเวอร์แบบช่วยผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า
ช่วงล่างและระบบกันสะเทือนมีการปรับปรุงและพัฒนาใหม่ทั้งหมด โดยสิ่งที่ได้สัมผัสคือความนุ่มนวลที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า แต่เป็นความนุ่มที่ยังเฟิร์มและมั่นใจอยู่เวลาเข้าโค้ง แม้จะมีอาการโคลงตัวของตัวถังที่พอสัมผัสได้ แต่ความตั้งใจที่จะพัฒนาขึ้นของ ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชั่นใหม่ คันนี้มาให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับครอบครัวและการทำกิจกรรมไลฟ์สไตล์ที่หลากหลากหลายมากยิ่งขึ้นทำให้เข้าใจได้ว่าอาการที่แสดงออกมาเหล่านี้ตอบโจทย์อะไรของการวางแผนการตลาด
ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าความสนุกสนานดุดันแน่นหนึบเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านั้นอาจจะลดลงในรุ่นนี้ แต่สิ่งที่แลกมากับความทันสมัยและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ใส่เข้ามาทดแทนบางอย่างที่อาจจะลดลงไปบ้าง ย้ำว่าแค่ลดลงไปบ้างจากเดิม ส่วนตรงนี้เพียงพอที่จะทำให้มองเห็นความคุ้มค่าและคงจะไม่เกินไปเช่นกันที่จะบอกว่ายังโดดเด่นตามตามสไตล์ของ ฟอร์ด ที่ตั้งแต่เปิดตัว ฟอร์ด เรนเจอร์ เข้าสู่ตลาดมาก็พลิกโฉมให้รถกระบะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในอดีต
เบ็ดเสร็จฟอร์มของ ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชั่นใหม่ ยังคงท็อปฟอร์มอยู่ในด้านของการใส่เอาเทคโนโลยีและปรับเปลี่ยนบุคลิกของกระบะที่เน้นบนนทุกสัมภาระให้กลายเป็นรถไลฟ์สไตล์สำหรับครอบครัวบรรทุกผู้โดยสาร ซึ่งมาพร้อมลูกเล่นแพรวพราวเพียบโดยเฉพาะหน้าจอ 12 นิ้ว แค่นี้ก็ก้าวล้ำออกจากคู่แข่งในตลาดไปอีกก้าวหนึ่ง
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร Add friend ได้ที่ @PPTVOnline