ASEAN Roundup ประจำวันที่ 27 สิงหาคม- 3 กันยายน 2566
ลาวขาดแคลนแรงงานกระทบอุตสาหกรรม-FDI
ที่มาภาพ: https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Low63.php
การขาดแคลนแรงงานในลาวสร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมในประเทศ และกระทบต่อการผลักดันการลงทุนจากต่างประเทศ
แรงงานลาวเดินทางออกนอกประเทศเป็นจำนวนมาก เพื่อแสวงหาโอกาสการจ้างงานในต่างประเทศ ท่ามกลางค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น แต่รัฐบาลลาวก็พยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อเพิ่มการผลิตในประเทศ
ในเดือนมิถุนายนปีนี้ รัฐบาลลาวได้ประกาศความตั้งใจที่จะดึงดูดการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น และบรรเทาปัญหาทางการเงินของประเทศ ลดการพึ่งพาการนำเข้า และลดภาระหนี้
ในขณะเดียวกัน ธุรกิจในท้องถิ่นประเทศ ตั้งแต่ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตไปจนถึงการก่อสร้างและการบริการ ประสบกับการขาดแคลนแรงงานอย่างหนักซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและการฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาด
วิกฤติแรงงานส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากแรงงานหางานทำในประเทศอื่น เพราะค่าแรงในประเทศต่ำ แม้จะเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ก็ตามไม่ทันการอ่อนค่าของเงินกีบลาวที่อ่อนค่าต่อเนื่อง
นอกจากนี้ หน่วยงานของรัฐบาลลาวยังได้อนุญาตและอำนวยความสะดวกแก่แรงงานในการหางานชั่วคราวในต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ไทย และญี่ปุ่น อย่างถูกกฎหมายและผ่านโครงการต่างๆ ผู้ที่ไม่สามารถหางานทำได้อย่างถูกกฎหมายมักจะหันไปใช้วิธีข้ามแดนไปประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหางานอย่างผิดกฎหมาย
แต่ปัญหาการขาดแคลนแรงงานเรื้อรัง ซึ่งรุนแรงขึ้นจากการอำนวยความสะดวกของรัฐบาลในการโยกย้ายไปต่างประเทศ ส่งผลให้ธุรกิจในประเทศจำนวนมากประสบปัญหาที่หนักหน่วง
ตัวแทนของอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มซึ่งพึ่งพาแรงงานลาวเป็นอย่างมาก ได้ออกมาสะท้อนปัญหานี้ โดยบอกกับกระทรวงแรงงานว่า จะต้องมีการแก้ไขปัญหาจ
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักข่าวเวียงจันทน์ไทมส์(Vientiane Times)รายงานว่าตัวแทนของ Mascot International Lao ซึ่งเป็นโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าของเดนมาร์กที่ดำเนินงานในลาว แจ้ง นางไบคำ ขัตติยา รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมว่า จำนวนแรงงานในอุตสาหกรรมตัดเย็บเสื้อผ้าได้ลดลงตั้งแต่ปี 2564
บริษัทชี้ถึงสาเหตุหลักว่า คนลาวเดินทางออกนอกประเทศเพื่อโอกาสที่ดีกว่า แต่โรงงานยังต้องการคนงานอีกมากกว่า 2,000 คน
นายเจาวัด ข่าน ผู้จัดการบริษัท Riccardo Garment ซึ่งตั้งอยู่ในเวียงจันทน์ กล่าวกับสำนักข่าว Laotian Times ว่า บริษัทของเขามีปัญหาในการหาและรักษาคนงาน โดยเฉพาะระดับปฏิบัติการและผู้ช่วยที่สามารถฝึกอบรมพนักงานได้
อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตการณ์บางคนมีมุมมองทางบวกกว่า โดยนักเศรษฐศาสตร์ลาวคนหนึ่งกล่าวว่า การขาดแคลนแรงงานยังไม่เป็นปัญหาเมื่อเทียบกับกำลังแรงงานในประเทศทั้งหมด แม้ค่าแรงขั้นต่ำที่ต่ำจะผลักดันให้คนลาวไปหางานทำที่อื่นก็ตาม
“ผมเชื่อว่าประเทศไม่ได้ประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานรุนแรงขนาดนั้น อย่างไรก็ตามแรงงานในประเทศลาวได้รับค่าจ้างน้อยกว่าจริงๆ โดยเฉพาะแรงงานในต่างจังหวัด จึงเลือกหางานทำในประเทศไทยทั้งถูกและผิดกฎหมาย” สมไซ ออนพิลาไล ที่ปรึกษากระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ กล่าว
สมไซให้ข้อมูลว่า คนงานที่ถูกส่งไปยังเกาหลีใต้และญี่ปุ่นผ่านโครงการอย่างเป็นทางการหรือถูกต้องตามกฎหมาย ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อกำลังแรงงานในประเทศ เนื่องจากแผนดังกล่าวมักจะเป็นการจ้างงานระยะสั้นเพื่อให้คนงานได้รับทักษะมากขึ้น และกลับไปลาวเพื่อใช้สิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้ในต่างประเทศ
“เพื่อให้มีความสมดุลระหว่างการลงทุนและการสนับสนุนคนงาน รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงกรอบการเข้าลงทุนมากขึ้น ทำให้การเริ่มต้นและดำเนินธุรกิจในลาวง่ายขึ้น และในขณะเดียวกันก็ดูแลให้สถาบันอาชีวศึกษาสามารถเตรียมแรงงานที่มีทักษะเพียงพอสำหรับการดำเนินงานของธุรกิจ”
เพื่อบรรเทาผลกระทบทางการเงินของคนงานลาว สำนักนายกรัฐมนตรีได้อนุมัติขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศจาก 1,300,000 กีบ หรือ 67 เหรียฐสหรัฐฯเป็น 1,600,000 กีบหรือ 83 เหรียญสหรัฐฯ เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม
ลาวคาดราคาอาหารและสินค้าอื่นๆเพิ่มขึ้น 10% ในปีนี้
ที่มาภาพ :
https://laotiantimes.com/2023/08/28/laos-expects-food-and-other-product-prices-to-increase-by-10-this-year/
สำนักงานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ นครเวียงจันทน์คาดการณ์ว่า ราคาอาหารและสินค้าจำเป็นอื่น ๆ ในลาวจะเพิ่มขึ้น 5% ถึง 10% ในช่วงที่เหลือของปีนี้
นางสาววันมนี พิมมะเสน หัวหน้าสำนักงานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์เวียงจันทน์ กล่าวว่า ราคาสินค้าในลาวพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565
ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ การผลิตในประเทศมีน้ำหนัก 40.25% ในขณะที่ประเทศนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมและอุปโภคบริโภคเป็นส่วนใหญ่
นางสาววันมนีกล่าวว่า ค่าครองชีพในลาวพุ่งสูงขึ้นเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อสูงกว่า 40% นับตั้งแต่ปีที่แล้ว ต้นทุนสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศอื่นและได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
ทางการยังได้มีการควบคุมราคาสำหรับสิ่งจำเป็นพื้นฐาน 23 รายการ เช่น เนื้อหมู ข้าว และก๊าซธรรมชาติ เพื่อพยายามชะลออัตราเงินเฟ้อ จากการรายงานของสำนักข่าวเวียงจันทน์ไทม์ส
สำนักงานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์เวียงจันทน์เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ของรัฐควบคุมราคาผลิตภัณฑ์ในประเทศและต่างประเทศ เพื่อยกระดับความมั่นคงทางอาหารในประเทศ ท่ามกลางปัญหาทางการเงิน การว่างงานที่สูง และน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีราคาแพง
การสำรวจที่จัดทำโดยธนาคารโลกแสดงให้เห็นว่ามากกว่า 3 ใน 4 ของครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบในประเทศ ลดการบริโภคอาหารหรือหันรับประทานอาหารที่ราคาถูกลง ในขณะที่มากกว่าครึ่งหนึ่งก็ลดการใช้จ่ายด้านสุขภาพและการศึกษาด้วย
นายกฯลาว สั่งคลังคุมเข้มนำเข้าสินค้าข้ามแดนผิดกฎหมาย
นายสอนไซ สีพันดอน นากยรัฐมนตรีสปป.ลาว ที่มาภาพ:https://www.vientianetimes.la/sub-new/Previous_167_y23/freeContent/FreeConten_167_PM_y23.php
นายกรัฐมนตรีสปป.ลาวได้ออกคำสั่งใหม่ ซึ่งสั่งการให้กระทรวงการคลังขจัดการนำเข้ายานพาหนะและสิ่งของอื่น ๆ ที่รัฐบาลสั่งห้ามเป็นการเฉพาะ อย่างผิดกฎหมาย เช่น สินค้าฟุ่มเฟือย
คำสั่งที่ออกมาเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ ลงนามโดยนายกรัฐมนตรี ดร.สอนไซ สีพันดอน และส่งไปยังกระทรวงเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม
สินค้านำเข้าทั้งหมดจะต้องเข้าประเทศลาวที่จุดผ่านแดนซึ่งมีเครื่องสแกนและระบบติดตามที่ทันสมัย เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ตามกฎหมายและเสียภาษีศุลกากรตามความเหมาะสม
กระทรวงได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบ เพื่อดูแลให้สินค้าและเงินสดทั้งหมดที่บรรทุกผ่านข้ามพรมแดนได้รับการตรวจสอบอย่างรอบคอบ และใช้เครื่องระบุตัวตนผู้โดยสาร เพื่อควบคุมการค้าข้ามแดนได้ดียิ่งขึ้น
เพื่อให้มีการจัดเก็บอากรนำเข้าที่ถูกต้อง ผู้นำเข้าไม่ควรอาศัยการระบุมูลค่าของสินค้าที่นำเข้า แต่ต้องจัดเตรียมเอกสารจากโรงงานหรือผู้ขายที่ระบุมูลค่าของสินค้าที่เป็นปัญหา เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะจับตาดูการพยายามหลบเลี่ยงการชำระภาษีศุลกากร
นอกจากนี้ กระทรวงยังได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบ เพื่อให้แน่ใจว่ามีการชำระภาษีเต็มจำนวนสำหรับสินค้าที่ซื้อขายทางออนไลน์ สินค้าที่สั่งจากประเทศอื่นจะต้องได้มีการตรวจสอบที่จุดตรวจหรือคลังสินค้า เมื่อบริษัทขนส่งนำเข้ามาเพื่อให้แน่ใจว่าได้ชำระภาษีทั้งหมดแล้ว
ตลอดจนต้องใช้ระบบจัดเก็บภาษีที่ทันสมัย รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 7% เป็น 10% ภาษีการบริโภค ภาษีกำไร และภาษีเงินได้จากการสินค้าและบริการที่บริษัทต่างประเทศใช้สำหรับโครงการไฟฟ้าและเหมืองแร่ จะต้องชำระเต็มจำนวนด้วย
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังได้รับคำสั่งให้พิจารณาหาแนวทางจูงใจธุรกิจให้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม และปรับปรุงการบริหารจัดการการนำเข้าและส่งออกผลิตภัณฑ์ต่างๆ ด้วยการบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อให้ธุรกิจได้รับการควบคุมอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น อีกทั้ง ควรใช้ภาษีบริโภคสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยนำเข้าที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและสังคมโดยเร็วที่สุด รวมถึงมาตรการในการขจัดการนำเข้าที่ผิดกฎหมายทุกรูปแบบ
และควรส่งเสริมให้มีการใช้เงินกีบมากขึ้นในการชำระค่าสินค้าและบริการในลาว และกระทรวงควรติดตามการดำเนินงานของธุรกิจเงินตราต่างประเทศที่ผิดกฎหมายอย่างใกล้ชิด ต้องมีการควบคุมที่เข้มงวดยิ่งขึ้นเพื่อควบคุมงบประมาณของรัฐที่เกี่ยวกับสกุลเงินต่างประเทศ และกระทรวงการคลังจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าสกุลเงินต่างประเทศทั้งหมดผ่านธนาคารแห่งสปป. ลาว
นอกจากนี้ กระทรวงยังได้รับคำสั่งให้ติดตามการนำเข้าทุนจดทะเบียน ทุนอื่นๆ และสกุลเงินต่างประเทศที่ได้รับจากบริษัทเอกชนในประเทศและต่างประเทศที่ดำเนินโครงการพัฒนา เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานเป็นไปตามสัญญาโครงการและกฎหมายการจัดการเงินตราต่างประเทศ
หน่วยงานที่ออกใบอนุญาตนำเข้าและส่งออกสินค้าจะต้องกำหนดให้ธุรกิจต้องแสดงเอกสารรับรองการชำระค่าสินค้าเหล่านี้ผ่านธนาคารแห่ง สปป. ลาว ซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติก่อนจึงจะออกใบอนุญาตได้
รัฐบาลลาวสั่งกระทรวงพาณิชย์คุมราคาสินค้า
ที่มาภาพ: https://laotiantimes.com/2022/12/12/new-wave-of-covid-unlikely-for-laos-residents-should-remain-vigilant/
เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 รัฐบาลลาวได้สั่งการให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อควบคุมราคาสินค้าที่สูงขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและการเงิน ทั้งอัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยนที่สูงขึ้น และหนี้ต่างประเทศ
ราคาสินค้าทั้งอาหารสด ข้าว เนื้อหมู ปลา ไข่ วัสดุก่อสร้าง และอาหารสัตว์ ปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ยังขอให้กระทรวงส่งเสริมการผลิตในประเทศ ลดการนำเข้า และดูแลการส่งออกส่วนใหญ่ต้องเป็นสินค้าแปรรูปและมีมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น
คำสั่งยังขอให้โรงงานอาหารสัตว์และโรงงานปุ๋ย ดูแลการผลิตให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดในประเทศได้ระดับ 70% และ 50% ตามลำดับ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตสำหรับภาคการเกษตรในประเทศ
นอกจากนี้ต้องดำเนินการมากขึ้นเพื่อลดราคาสินค้าที่อาจจะทำให้อัตราเงินเฟ้อเลวร้ายลงและส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของผู้คน และคำสั่งยังสั่งให้กระทรวงเกษตรและป่าไม้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเจรจากับตลาดส่งออก ในเรื่องข้อกำหนดด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช เพื่อเพิ่มการส่งออกกาแฟ ยาง มะม่วง ขนุน อ้อย ถั่วลิสง เนื้อแช่แข็ง และปลาดุก
มาเลเซียเปิดตัวแผนแม่บทอุตสาหกรรม 2030
ที่มาภาพ: https://www.bernama.com/en/business/news.php?id=2221554
เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566 รัฐบาลมาเลเซียได้เปิดตัวแผนแม่บทอุตสาหกรรมใหม่ปี 2030 New Industrial Masterplan 2030 (NIMP 2030) ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนมูลค่า 95 พันล้านริงกิตในระยะเวลา 7 ปี เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
การดำเนินการตามแผนแม่บทอุตสาหกรรมใหม่ปี 2030 (NIMP 2030) ของรัฐบาล จะต้องใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 95 พันล้านริงกิตตลอด 7 ปี
นายกรัฐมนตรี ดาโต๊ะ สรี อันวาร์ อิบราฮิม กล่าวในงานเปิดตัวแผนแม่บทฯว่า การลงทุนส่วนใหญ่จะมาจากภาคเอกชน ซึ่งระดมเงินจากprivate equity และจากตลาดเงิน และตลาดทุน
NIMP 2030 มีเป้าหมายที่จะสร้างขีดความสามารถทางอุตสาหกรรมของมาเลเซียและความสามารถในการปรัยตัวเพื่อการเติบโตในระยะยาวและยั่งยืน ด้วยยุทธศาสตร์ต่างๆ เช่น การเพิ่มความหลากหลายของสินค้า(economic complexity) การเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางอุตสาหกรรมภายในประเทศ และการวางตำแหน่งอุตสาหกรรมของมาเลเซียให้สูงขึ้นในห่วงโซ่คุณค่าระดับโลก
เขากล่าวเสริม
ดาโต๊ะอันวาร์กล่าวว่า การลงทุนราว 10% ของการลงทุนทั้งหมดจะได้รับจัดสรรจากรัฐบาล เพื่อช่วยกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจในการลงทุนเหล่านี้ผ่านทางกองทุนเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม(NIMP Industrial Development Fund) และกองทุนร่วมลงทุนเชิงกลยุทธ์(NIMP Strategic Co-investment Fund)
“NIMP 2030 ใช้แนวทางที่อิงตามพันธกิจ ซึ่งเป็นนโยบายแนวนอนที่มีพันธกิจที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน ซึ่งจะกระตุ้นไม่เพียงแต่ระบบนิเวศการผลิตทั้งหมดเท่านั้น แต่ทั้งประเทศเพื่อขับเคลื่อนการปรับเปลี่ยนทางอุตสาหกรรมและบรรลุวิสัยทัศน์ของเรา” ดาโต๊ะอันวาร์กล่าวในการเปิดตัว NIMP 2030 ซึ่งเป็นนโยบายอุตสาหกรรมสำหรับภาคการผลิตและบริการที่เกี่ยวข้อง
ด้วยกรอบเวลาอันสั้นเพียง 7 ปี NIMP 2030 ต้องมีแนวทางการปรับเปลี่ยนและเร่งด่วนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยอิงจากการประเมินที่เข้มงวดและการหารือที่ครอบคลุม และได้กำหนด พันธกิจ 4 ข้อขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการปรับเปลี่ยนของอุตสาหกรรมในวงกว้าง
ดาโต๊ะอันวาร์กล่าวว่า พันธกิจแรกของ NIMP 2030 คือ การพัฒนาเศรษฐกิจให้ซับซ้อนขึ้นด้วยความหลากหลายของสินค้า ซึ่งอุตสาหกรรมต่างๆ จะได้รับการส่งเสริมให้คิดค้นและผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น พันธกิจที่สอง คือ การเปิดรับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลเพื่อมุ่งสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมและเพิ่มผลิตภาพ พันธกิจที่สามมุ่งเน้นไปที่การผลักดันการปล่อนคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ผ่านแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนและความคิดริเริ่มสีเขียว และพันธกิจสุดท้ายคือการปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และการไม่แบ่งแยก ด้วยการรักษาความปลอดภัยของห่วงโซ่อุปทาน
“เพื่อเป็นแรงผลักดันให้เกิดการนำ NIMP ไปใช้ทันที จึงได้มีการระบุโครงการตามพันธกิจหลายโครงการ โครงการที่พร้อมและเริ่มดำเนินการทันทีเหล่านี้คาดว่าจะเร่งการพัฒนาระบบนิเวศแบบครอบคลุมที่บูรณาการ SMEs เข้ากับห่วงโซ่คุณค่าและผลักดันอุตสาหกรรมทั้งหมด”
ดาโต๊ะอันวาร์มั่นใจว่า ยุทธศาสตร์ของ NIMP 2030 จะให้ผลลัพธ์สำคัญ และสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจของประเทศ NIMP 2030 ตั้งเป้าที่จะเพิ่มมูลค่าเพิ่มของการผลิตเป็น 587.5 พันล้านริงกิตภายในปี 2573 เพิ่มขึ้น 6.5% จากปัจจุบัน ซึ่งหมายความว่า การเพิ่มขึ้น 61% มาจากการจัดการของ NIMP 2030 สำหรับภาคส่วนที่มีผลกระทบสูง เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์(Electric and Electronics -E&E) เคมี รถยนต์ไฟฟ้า(EV) การบินและอวกาศ เภสัชกรรม และวัสดุขั้นสูง เช่น แร่ธาตุและโลหะ
ที่มาภาพ:https://theedgemalaysia.com/node/680935
นอกจากนี้การจ้างงาน คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.3% จากปี 2566 ซึ่งจะทำให้ประชากร 3.3 ล้านคนดำรงชีวิตได้ภายในปี 2573
“แนวโน้มการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมนั้น มาจากการสร้างงานที่มีทักษะสูง ในขณะที่ประเทศก้าวหน้าไปสู่กิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น และการยกระดับระบบอัตโนมัติและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ที่มาภาพ:https://theedgemalaysia.com/node/680935
สิ่งสำคัญที่สุด คือ การดำเนินการตาม NIMP คาดว่าจะเพิ่มเงินเดือนเฉลี่ยในภาคการผลิตขึ้น 9.6% สู่ระดับ 4,510 ริงกิตจาก 1,976 ริงกิต ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ แม้ภาคส่วนนี้จะมีบทบาทสำคัญในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของประเทศก็ตาม
“การเพิ่มขึ้น 128% จากปี 2564 นี้ได้รับแรงหนุนจากการปรับเปลี่ยนของอุตสาหกรรมไปสู่กิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น และโอกาสในการทำงานที่มีทักษะสูง” ดาโต๊ะอันวาร์กล่าว
สิทธิประโยชน์จูงใจอื่นๆ ตามแผน NIMP 2030 จะมีการประกาศในระหว่างการจัดทำงบประมาณปี 2024
นายกฯกัมพูชาเน้นสร้างงานในประเทศ
ที่มาภาพ: https://www.khmertimeskh.com/501353088/in-pictures-the-priority-goal-of-the-royal-government-of-the-7th-mandate-is-to-create-jobs-in-the-country-says-pm/
ดร. ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าวว่า เป้าหมายสำคัญของรัฐบาลของรัฐบาลกัมพูชาชุดที่ 7 คือ การสร้างงานในประเทศ ซึ่งถือเป็นหน้าที่สำคัญที่ต้องเพิ่มการสร้างงาน แต่ก็ไม่ปิดกั้นเสรีภาพของประชาชนที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศ
ดร.ฮุน มาเนต ได้ยืนยันระหว่างการพบปะกับคนงานเกือบ 20,000 คน ในเมืองตาเขมา จังหวัดกันดาล ในเช้าวันที่ 1 กันยายน 2566
ดร. ฮุน มาเนต กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักดีว่าชาวกัมพูชาบางส่วนไปทำงานในต่างประเทศ เช่น ในประเทศไทย เกาหลีใต้ เป็นต้น แต่ประเทศอื่นๆ เช่น เกาหลีใต้ ก็มีพลเมืองของตนทำงานในต่างประเทศเช่นกัน โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ในการพบปะคนงานในโรงงาน 18,000 คนในเขต Por Senchey พนมเปญเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2023 ดร.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยังได้ชี้แจงว่า การเพิ่มค่าจ้างคนงานในภาคตัดเย็บเสื้อผ้าอย่างต่อเนื่อง เป็นนโยบายของรัฐบาลที่นำโดยพรรคพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People’s Party:CPP) CPP แต่การขึ้นเงินเดือนจะต้องดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน
ดร. ฮุน มาเนต ชี้ว่าในปี 2540 ค่าจ้างคนงานอยู่ที่ 40 เหรียญสหรัฐฯเท่านั้น และสวัสดิการแทบจะไม่มีเลย แต่ในปี 2566 คนงานมีค่าจ้างพื้นฐานอยู่ที่ 200 เหรียญสหรัฐฯ ยังไม่รวมสวัสดิการอื่นๆ
“และตอนนี้ในปีนี้ เรากำลังเจรจาขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีกครั้งในปี 2567” ดร.ฮุน มาเนตกล่าว “เราเริ่มเจรจาในเดือนกรกฎาคม และเป้าหมายของรัฐบาลคือการเพิ่มจำนวนค่าจ้างต่อเนื่อง ซึ่งพี่น้องทั้งหลายคิดว่านั่นยังไม่เพียงพอ และรัฐบาลตระหนักดี เราจึงพยายามที่จะเพิ่มแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่เราต้องใช้ดำเนินการเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตของเรา โดยเฉพาะในด้านนี้”
เมียนมายืนยันเดินหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษเจ้าก์ผิ่ว-ท่าเรือน้ำลึก
ที่มาภาพ: https://www.narinjara.com/news/detail/64ec0571fb28db3815ab4505
พลเอกอาวุโส มิน ออง หล่าย หัวหน้าคณะรัฐบาลทหารเมียนมา ยืนยันที่จะดำเนินโครงการลงทุนของจีน คือเขตเศรษฐกิจพิเศษเจ้าก์ผิ่ว( Kyaukphyu SEZ) และท่าเรือน้ำลึกโดยเร็วที่สุด
ประธานสภาแห่งรัฐย้ำเกี่ยวกับโครงการพิเศษในการประชุมของคณะกรรมการเศรษฐกิจแห่งชาติ ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเนปิดอว์ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม
พลเอกอาวุโสมิน ออง หล่าย เน้นว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษเจ้าก์ผิ่ว เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย และเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวา ไม่เพียงช่วยแต่ประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านในด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาด้วย
ในระหว่างการเยือนรัฐยะไข่ในปีนี้ เขาได้พูดคุยเกี่ยวกับการดำเนินโครงการเศรษฐกิจพิเศษทั้งหมดโดยเร็วที่สุด
พลเอกอาวุโสมิน ออง หล่าย เน้นย้ำว่าเขตเศรษฐกิจพิเศษจอก์พยู เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย และเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวา ไม่เพียงแต่ช่วยเหลือประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านในด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาด้วย
ในระหว่างการเยือนรัฐยะไข่ในปีนี้ พลเอกอาวุโสมิน ออง หล่าย ได้พูดคุยเกี่ยวกับการดำเนินโครงการเศรษฐกิจพิเศษทั้งหมดโดยเร็วที่สุด
อู เป ธาน นักการเมืองผู้มีประสบการณ์ในรัฐยะไข่ วิพากษ์วิจารณ์สภาทหารที่เร่งรีบในการดำเนินโครงการเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งเขาเชื่อว่าจีนอาจกดดันรัฐบาลเมียนมา เนื่องจากจีนมีการลงทุนจำนวนมาก รวมถึงท่อส่งก๊าซและน้ำมันทั่วทั้งภูมิภาค
“จีนมีการลงทุนจำนวนมากในรัฐยะไข่ หลายโครงการยังไม่ได้ดำเนินการ ดังนั้น รัฐบาลจีนอาจกดดันเนปิดอว์”
อู เป ธานยังเชื่อว่า การพัฒนาอาจเกี่ยวข้องกับกิจการทางทหารด้วย
“ผมได้ยินมาว่าพวกเขากำหนดสถานที่ที่เรือดำน้ำของรัฐบาลทหารและกองทัพเรือจีนบางส่วนจะเทียบท่าใกล้ท่าเรือน้ำลึก ดังนั้นจึงอาจเกี่ยวข้องกับกิจการทางทหาร”
แต่ก่อนที่จะดำเนินโครงการเจ้าก์ผิ่ว หน่วยงานจะต้องแก้ไขปัญหาการยึดที่ดินกับชาวบ้านในท้องที่ก่อน จึงต้องรับผิดชอบ คือ โครงการทำให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและยังส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของชาวบ้านอีกด้วย
ในเดือนมีนาคม บริษัทวิจัยการสำรวจเมียนมา (MSR) ได้เดินทางไปเกาะมาเดย์เป็นเวลา 5 วัน เพื่อสำรวจการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก
Narinjara Newsได้รับข้อมูลจากผู้ชายคนหนึ่ง ว่า MSR ไปที่บ้านทุกหลังใน 4 หมู่บ้านบนเกาะมาเดย์เพื่อรวบรวมความคิดเห็นของประชาชน
ในเดือนธันวาคม 2558 กลุ่มบริษัทที่นำโดย China International Trust Investment Cooperation (CITIC) ชนะการประกวดราคาเพื่อสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ เจ้าก์ผิ่ว และท่าเรือน้ำลึก
ภายใต้ความคิดริเริ่มนี้ จะมีการสร้างท่าเรือหนึ่ง (ยาว 2,500 เมตร และกว้าง 600 เมตร) เกาะมาเดย์ และอีกแห่ง (ยาว 1,500 เมตร และกว้าง 600 เมตร) บนเกาะแรมรี
ท่าเรือดังกล่าวจะรองรับเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ เช่น เรือแม่ เรือขนส่งสินค้า และเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ที่สูงกว่า 1,000 ฟุต เพื่อเข้าและออก
ก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากแหล่ง ชเว รัฐยะไข่จะถูกส่งออกไปยังเมืองคุนหมิงของจีน ผ่านทางท่อส่งก๊าซและน้ำมันทั่วเมียนมาซึ่งติดกับรัฐฉานตอนเหนือ
ชาวบ้านมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อการดำรงชีวิตเนื่องจากโครงการพัฒนา
ระบบนิเวศทางธรรมชาติตามแนวแม่น้ำ Than Zeik ในเมืองเจ้าก์ผิ่วจะถูกทำลายโดยโครงการนี้ นอกจากนี้ชาวประมงท้องถิ่นจะสูญเสียอาชีพ ในการดำรงชีวิตอันเนื่องจากความเสียหายของกระชังปลาในน้ำ
นับตั้งแต่การหยุดยิงชั่วคราวเกิดขึ้นกับกองทัพอาระกัน สภาทหารได้ริเริ่มที่จะฟื้นฟูโครงการหลายแห่งที่หยุดชะงัก ซึ่งรวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษเจ้าก์ผิ่ว และท่าเรือน้ำลึกในรัฐยะไข่
เวียดนามอนุมัติแผนแม่บทพลังงานแห่งชาติ 2564-2573
ที่มาภาพ: https://en.vietnamplus.vn/national-energy-master-plan-for-20212030-approved/265147.vnp
รองนายกรัฐมนตรี เจิ่น ฮ่ง ฮ่า ของเวียดนาม ลงนามอนุมัติแผนแม่บทพลังงานแห่งชาติสำหรับปี 2564-2573 โดยมีวิสัยทัศน์ถึงปี 2593 อย่างสดๆร้อนๆ
วัตถุประสงค์โดยรวมของแผน คือเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ตามที่กำหนดไว้ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การพัฒนาอุตสาหกรรมและความทันสมัย เป็นหลักในการป้องกันประเทศและความมั่นคง ยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชน และปกป้องสภาพแวดล้อมทางนิเวศน์ นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานที่เป็นอิสระและมีการกำกับดูแลกันเอง และสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมพลังงานที่ครอบคลุมโดยอาศัยแหล่งพลังงานหมุนเวียนและพลังงานใหม่ โดยมีเป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคสำหรับอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและการส่งออกพลังงานหมุนเวียน
โดยกำหนดเป้าหมายสำหรับการจัดหาพลังงานปฐมภูมิโดยรวมให้สูงถึง 155 ล้านตันเทียบเท่าน้ำมันภายในปี 2573 และระหว่าง 294 ถึง 311 ล้านตันภายในปี 2593 ในขณะเดียวกัน ปริมาณสำรองน้ำมันและปิโตรเลียมของประเทศทั้งหมด (รวมถึงน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์) คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในขณะเดียวกัน การนำเข้าสุทธิเป็น 75-80 วันภายในปี 2573 และค่อยๆ เป็น 90 วันหลังจากนั้นปีนั้น
แผนดังกล่าวกำหนดเป้าหมายสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในพลังงานปฐมภูมิทั้งหมดเป็น 15-20% ภายในปี 2573 และประมาณ 80-85% ภายในปี 2593 และยังตั้งเป้าที่จะบรรลุเป้าหมายการประหยัดพลังงานประมาณ 8-10% % ภายในปี 2573 และประมาณ 15-20% ภายในปี 2593 เมื่อเทียบกับสถานการณ์การพัฒนาปกติ
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 399-449 ล้านตันภายในปี 2573 และประมาณ 101 ล้านตันภายในปี 2593 เป้าหมายคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 17-26% ภายในปี 2573 และประมาณ 90% ภายในปี 2593 เมื่อเทียบกับสถานการณ์การพัฒนาตามปกติ
มีการเน้นย้ำถึงการใช้ประโยชน์และการใช้ทรัพยากรพลังงานในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายการผลิตน้ำมันดิบ 6 – 9.5 ล้านตัน ก๊าซธรรมชาติ 5.5 – 15 พันล้านลูกบาศก์เมตรและถ่านหินเชิงพาณิชย์ 41-47 ล้านตัน ช่วงปี 2564-2573
ภายในปี 2573 แผนฯมีเป้าหมายที่จะจัดตั้งและพัฒนาศูนย์พลังงานสะอาดหลายแห่งในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ หากเงื่อนไขที่เอื้ออำนวย นอกจากนี้ยังตั้งใจที่จะพัฒนาการผลิตพลังงานใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการภายในประเทศและการส่งออก กำลังการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำสีเขียวคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 100,000 – 200,000 ตันต่อปีภายในปี 2573 และประมาณ 10-20 ล้านตันต่อปีภายในปี 2593
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ จึงมีการกำหนดแนวทางปฏิบัติ 6 ประการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการระดมเงินทุนและการจัดสรร กลไกและนโยบาย สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความร่วมมือระหว่างประเทศ และการดำเนินการและกำกับดูแลแผน