การขับเคลื่อนนโยบายด้าน BCG ที่ต้องลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะกระทบกับเกษตรกรทั่วประเทศหลาย 10 ล้านคน ซึ่งจากนี้ไปภาคการเกษตรจะต้องปรับตัวทำนาวิถีใหม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Thai Rice NAMA แบบเปียกสลับแห้ง จะทำให้ใช้ทรัพยากรนํ้าลดลง ใช้พลังงานสูบนํ้าเข้านาลดลง เพิ่มผลผลิต 20-30% ลดปล่อยก๊าซมีเทน 70%
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกักเก็บและใช้ประโยชน์คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CCUS มาใช้เชิงพาณิชย์ ภายในปี 2040 ที่จะต้องปรับปรุงระเบียบกฎหมาย คัดเลือกเทคโนที่เหมาะสม การส่งเสริมการลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม สิทธิประโยชน์ทางภาษี การส่งเสริมปูนซีเมนต์ไฮดรอลิค เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการพัฒนากลไกตลาดคาร์บอนเครดิต ที่มีการออกระเบียบเรียบร้อยแล้ว การเพิ่มแหล่งกักเก็บและดูดกลับก๊าซเรือนกระจก จากการปลูกต้นไม้ รวมถึงการผลักดันร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. … ที่คาดว่าจะนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ในต้นปี 2023
นอกจากนี้ จะจัดตั้งกรมการเปลี่ยนแปลงสถาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรม Climate Change) ที่จะแสดงให้นานประเทศเห็นวถึงความตั้งใจ และความเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหา เพื่อรับมือความท้าทายด้าน Climate Change อย่างเต็มรูปแบบ
นายวราวุธ ยํ้าว่า ความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วน ในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม จะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ โดยเฉพาะการเร่งพัฒนาศักยภาพของภาคธุรกิจ ในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะจากนี้ไปประเทศไทยจะต้องมีการกำหนด Carbon Footprint ให้เป็นภาคบังคับ การขับเคลื่อนจากนี้ไปทุก 1 ตันของก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมานั้น จะต้องมีการสำรวจ และจำกัดการปล่อย การทำธุรกิจ หรือดีลซื้อขายกับต่างประเทศนั้น จะเริ่มมีมาตรการทางภาษีมากขึ้น เริ่มมีการกีดกันเข้ามามากขึ้น ซึ่งกฎหมายอย่าง Climate Change Act จะเข้ามามีส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทาง ว่าภาคเอกชนและภาคธุรกิจต่าง ๆ ต้องไม่เสียเปรียบในการดีลหรือการทำการค้ากับต่างประเทศ
ดังนั้น ภาคธุรกิจจะต้องมาดูเรื่องนี้อย่างจริงจัง ว่าแต่ละองค์กรจะมีการจัดการปัญหาอย่างไร จะปรับตัวอย่างไร ทุกภาคส่วนไม่ว่ารัฐหรือเอกชนต้องเดินหน้าไปพร้อมกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง การแก้ไขปัญหากต้องเป็นองคาพยพไปพร้อม ๆ กัน
รวมไปถึงต้องอาศัยการมีส่วนร่วม ภาคประชาสังคม องค์การพัฒนาเอกชน(NGO) ประชาชนทุกคน ทุก ๆ ฝ่าย ในทุก ๆ เรื่อง เป็นภาคบังคับที่อยากให้เกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง เพื่อการปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศ เชื่อว่าเวลามีไม่มาก แต่ถ้าร่วมมือกันไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้
นอกจากนี้ ที่สำคัญอีกสิ่งเป็นเรื่องของการผลักดันการเพิ่มแหล่งกักเก็บและดูดกลับก๊าซเรือนกระจก จากการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ทุกประเภทเป็น 55% ของพื้นที่ประเทศ ภายในปี 2037 ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่จะเพิ่มพื้นที่ป่าธรรมชาติ 35% ป่าเศรษฐกิจ 15% และพื้นที่สีเขียวในเมืองอีก 5% ซึ่งป่าเศรษฐกิจขณะนี้มีอยู่ 32-33 ล้านไร่ จากเป้าหมาย 50 ล้านไร่ เท่ากับว่าวันนี้ยังขาดอีกเกือบ 16 ล้านไร่
ทั้งนี้ การผลักดันป่าเศรษฐกิจถือเป็นแนวทางหนึ่งในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งในพื้นที่ป่าและในเมืองให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ ตามพระราชดำริขององค์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่พระองค์ได้ทรงพระราชทาน ความคิดการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ที่ให้ทุกท่าน ได้กิน ได้ใช้ ได้ขาย สามารถรักษาต้นนํ้า รักษาระบบนิเวศ และยังสามารถแปรสภาพออกมาเป็นคาร์บอนเครดิตได้
“ป่าเศรษฐกิจมีศักยภาพในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าป่าสมบูรณ์ หรือว่าป่าธรรมชาติหลายเท่าตัว เนื่องจากเป็นไม้โตเร็วกว่า ยกตัวอย่างเช่น ไม้ยาง หรือว่าไม้ในเขตป่าเศรษฐกิจที่เป็นไม้โตเร็ว ยิ่งโตเร็วเท่าไหร่ ยิ่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากเท่านั้น”
เมื่อสามารถเพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจได้ตามเป้าหมาย จะเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ทั้งนํ้าท่วม นํ้าแล้ง ดินถล่ม และอีกหลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่าง ที่ล้วนแล้วเกิดมาจากมนุษย์ การที่จะส่งเสริม การปลูกป่า ไม่ว่าจะเป็นป่าเศรษฐกิจ หรือพื้นที่สีเขียวใด จะเป็นการบรรเทาความรุนแรงของภัยพิบัติ ที่กำลังจะเกิดขึ้นฟื้นฟูระบบนิเวศได้ในอนาคต