พรีเมียร์ แทงค์ คอร์ปอเรชั่น ปิดเทรดวันแรกเหนือจอง 0.92 บาท หรือ 26.29 % มูลค่าซื้อขาย 3,144.36 ล้านบาท ผู้บริหารเผยหุ้น PTC ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม เกินกว่าความคาดหมายที่วางไว้ การระดมทุนดังกล่าวจะเสริมความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในหลากหลายมิติ
บริษัท พรีเมียร์ แทงค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ PTC เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก เมื่อเปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ 6.75 บาท เหนือจอง 92.85% เพิ่มขึ้น 3.25 บาท จากราคาไอพีโอที่กำหนดไว้หุ้นละ 3.50 บาท และปิดช่วงเช้าที่ 5.35 บาท ปรับขึ้น 52.86% หรือ 1.85 บาท มูลค่าซื้อขาย 2,119.24 ล้านบาท เมื่อปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ 4.42 บาท เพิ่มขึ้น 0.92 บาท หรือ 26.29 % ระหว่างวันราคาหุ้นปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 6.85 บาท ต่ำสุดที่ 4.32 บาท มูลค่าซื้อขาย 3,144.36 ล้านบาท
โดย PTC เสนอขายหุ้น IPO 110 ล้านหุ้น คิดเป็น 26.83% ของหุ้นทั้งหมด Par 0.50 บาท เสนอขายที่ P/E 13.81 เท่า เทียบกับ P/E กลุ่ม 73 เท่า PSTC 43 เท่า ระดมทุนเพื่อใช้ในการช้าระคืนเงินกู้แก่สถาบันการเงิน จ้านวน 120 ล้านบาท และเป็นเงินทุนหมุนเวียน 248 ล้านบาท
สำหรับ PTC ประกอบธุรกิจคลังน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรา 17 ของพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 โดยมีบริการหลัก คือ รับ เก็บ และจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ปัจจุบันมีคลังน้ำมัน 2 แห่ง คือคลังน้ำมันเชื้อเพลิงที่จังหวัดขอนแก่น มีถังเก็บน้ำมัน 10 ถัง ปริมาตรรวม 9.0 ล้านลิตร มีความสามารถรับและจ่ายน้ำมันได้ปีละ 1,400 ล้านลิตรและ 1,400 ล้านลิตร ตามลำดับ และคลังน้ำมันเชื้อเพลิงที่จังหวัดศรีสะเกษ มีถังเก็บน้ำมัน 10 ถัง ปริมาตรรวมประมาณ 9.7 ล้านลิตร มีความสามารถรับและจ่ายน้ำมันได้ปีละ 830 ล้านลิตรและ 770 ล้านลิตร ตามลำดับ
ทั้งนี้ PTC มีทุนชำระแล้ว 205 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 300 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 110 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ 105.61 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของบริษัท 4.39 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ 2565 ในราคาหุ้นละ 3.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 385 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,435 ล้านบาท
นายวีรวัฒน์ บูรพพัฒนพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PTC เผยว่าหุ้น PTC ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม เกินกว่าความคาดหมายที่วางไว้ ซึ่งการระดมทุนดังกล่าวจะเสริมความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในหลากหลายมิติ และสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นับว่าเป็นก้าวสำคัญของบริษัทฯ อย่างแท้จริง หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai บริษัทฯ มีมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน และมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ประจำอย่างสม่ำเสมอ (Recurring Income) โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาและคาดว่าจะเป็นหนึ่งในโครงการอนาคตของ PTC อีกด้วย พร้อมกันนี้ บริษัทฯ เดินหน้าให้บริการด้านคลังน้ำมัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสายโซ่อุปทานน้ำมันที่นับเป็นต้นทุนสำคัญของภาคโลจิสติกส์ในประเทศไทย และมีโครงการที่จะพัฒนาคลังน้ำมันของบริษัทเอง เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
นางจารีรัตน์ บุลสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด ในฐานะผู้จัดการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน กล่าวว่า ด้วยศักยภาพเติบโตของ PTC ที่อยู่ในธุรกิจคลังน้ำมันสำหรับรับ เก็บ ผสมและจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งการให้บริการของอยู่ภายใต้การนำเสนอแนวคิดของการใช้ทรัพยากรร่วมกันให้แก่ผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ในประเทศ โดย PTC จะทำหน้าที่เป็นผู้สำรองน้ำมันและจ่ายน้ำมันให้แก่สถานีบริการน้ำมันในพื้นที่ใกล้เคียง ส่งผลในการช่วยลดภาระแก่ผู้ค้าน้ำมันในการลงทุนสำหรับการสร้างคลังน้ำมันของตัวเอง ประกอบกับทำเลที่ตั้งคลังน้ำมันที่อยู่ตามจุดยุทธศาสตร์การขนส่ง ถือเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มทางเลือกการขนส่งรวมถึงสำรองน้ำมันของสถานีบริการน้ำมัน
นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เผยว่า PTC เรียกได้ว่าเป็นหุ้นธุรกิจให้บริการคลังน้ำมันเชื้อเพลิงตัวแรก ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ด้วยจุดแข็งจากประสบการณ์ด้านการประกอบธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและรถขนส่งน้ำมันมากว่า 20 ปี ทำให้ผู้บริหารของ PTC มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการสายโซ่อุปทานของผู้ค้าน้ำมันในประเทศไทยเป็นอย่างดี ส่งผลให้สามารถกำหนดที่ตั้งในการก่อสร้างคลังน้ำมันเพื่อเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการกระจายน้ำมันของผู้ค้าน้ำมันสู่สถานบริการและผู้ใช้งาน ซึ่งพื้นที่ให้บริการปัจจุบันอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถือเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนปริมาณจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดเบนซินและดีเซลเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย รองจากเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อีกทั้งยังเป็นเส้นทางเชื่อมโยงสู่ประเทศเพื่อนบ้านได้ ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมโยงด้านระบบการขนส่งพลังงาน ให้ทุกพื้นที่มีโอกาสเข้าถึงพลังงานอย่างเท่าเทียมกัน