ศูนย์วิจัยกรุงไทย ชี้ในอนาคตธุรกิจ Solar-Corporate PPA จะสร้างมูลค่าถึง 1 แสนลบ.ต่อปี

ศูนย์วิจัยกรุงไทย ชี้ในอนาคตธุรกิจ Solar-Corporate PPA จะสร้างมูลค่าถึง 1 แสนลบ.ต่อปี

นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ทั่วโลกตื่นตัวกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจพลังงานสะอาด โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ เนื่องจากต้นทุนการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ลดลงมาก โดยนอกเหนือจากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แล้ว ธุรกิจ Solar-Corporate PPA ก็เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ โดยผู้ประกอบการเป็นผู้ลงทุนผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ให้แก่ผู้ว่าจ้างหรือผู้ใช้ไฟฟ้าก่อน แล้วจึงเรียกเก็บค่าไฟฟ้าภายหลังซึ่งมักต่ำกว่าอัตราค่าไฟที่ซื้อจากภาครัฐ

Solar-Corporate PPA คือ ธุรกิจที่ทำการลงทุนผลิตและขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์หรือโซลาร์เซลล์ ตามความต้องการของเจ้าของสถานที่ที่ว่าจ้าง เช่น อาคาร โรงงานอุตสาหกรรม ให้ผลิตไฟฟ้า ซึ่งมีรูปแบบที่ติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ทั้งในพื้นที่ของผู้ผลิตไฟฟ้าเอง หรือในพื้นที่ของผู้ใช้ไฟฟ้า

ธุรกิจ Solar-Corporate PPA มีแนวโน้มเติบโตตามกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ของโลก ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 8,541 พันเมกะวัตต์ ในปี 2593 จากปี 2563 อยู่ที่ 714 พันเมกะวัตต์ หรือขยายตัวสูงถึง 12 เท่า สำหรับในไทย ธุรกิจนี้มีโอกาสเติบโตตามความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จากทั้งภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ธุรกิจ Solar-Corporate PPA ยังได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐทั้งด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีและมิใช่ภาษีอีกด้วย

นางสาวนิรัติศัย ทุมวงษา นักวิเคราะห์อาวุโส กล่าวว่า ธุรกิจนี้ในปัจจุบันมี 3 รูปแบบ ได้แก่ 1) แบบ Synthetic เป็นการผลิตและส่งไฟฟ้าจากแหล่งผลิตไฟฟ้าของผู้ผลิต โดยมีผู้จัดจำหน่ายไฟฟ้าเป็นตัวกลางกระจายไฟฟ้าและมีตลาดกลาง การซื้อขายไฟฟ้าทำหน้าที่ตรวจสอบปริมาณการผลิตและการนำจ่ายไฟฟ้า 2) แบบ Sleeved เป็นการผลิตและส่งไฟฟ้าจากแหล่งผลิตไฟฟ้าของผู้ผลิตไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าโดยตรง โดยเช่าสายส่งไฟจากภาครัฐในการนำจ่ายไฟฟ้า

และ 3) แบบ Private wire เป็นการผลิตไฟฟ้าบนอาคารหรือในสถานที่ของผู้ใช้ไฟฟ้าโดยตรง ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้ในประเทศไทยขณะนี้ โดยปัจจุบันยังมีผู้ประกอบการน้อยราย ทำให้ภาวะการแข่งขันยังต่ำ นอกจากนี้ ธุรกิจนี้มีกำไรที่สูง โดย EBIT Margin เฉลี่ยอยู่ที่ 22.8% ในช่วงปี 2560-2562 ขณะที่ ผู้รับจ้างติดตั้งโซลาร์เซลล์ และผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์มี EBIT Margin เฉลี่ยเพียง 4.0% และ 3.3% ตามลำดับ

นายพงษ์ประภา นภาพฤกษ์ชาติ นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ทางศูนย์วิจัยฯ คาดว่ารายได้ของธุรกิจ Solar-Corporate PPA ของไทยมีโอกาสขยายตัวเป็น 37,700-118,200 ล้านบาท ในปี 2580 เมื่อเทียบกับปี 2563 หรือขยายตัวถึง 17.5-54.8 เท่า ทั้งนี้ การเติบโตของธุรกิจขึ้นอยู่กับ 3 ประเด็นสำคัญที่ภาครัฐควรพิจารณา ได้แก่ 1) การเพิ่มสัดส่วนการรับซื้อไฟฟ้าจากเฉพาะ Solar Rooftop ในแผน PDP 2022 ซึ่งจะทำให้ธุรกิจนี้สามารถขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นจากภาคเอกชนและกลุ่มครัวเรือนที่ต้องการผลิตไฟฟ้าไว้ใช้เองและขายไฟฟ้าที่เหลือใช้

2) การอนุญาตให้เช่าสายส่งไฟฟ้าในพื้นที่สาธารณะ ซึ่งจะเปิดให้ผู้ผลิตไฟฟ้าส่งไฟฟ้าโดยตรงไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าหลายรายได้ในเวลาเดียวกัน และทำให้เกิด Solar-Corporate PPA รูปแบบ Sleeved ในไทย และ 3) การผลักดันให้มีตลาดกลางการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้าและผู้ใช้ไฟฟ้าโดยตรง ซึ่งจะทำให้เกิด Solar-Corporate PPA รูปแบบ Synthetic ในไทย ทั้งนี้ หากมีบริการในรูปแบบ Sleeved และ Synthetic เพิ่มเติมจากแบบ Private wire จะทำให้มีบริการที่หลากหลาย และมีฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนให้ธุรกิจนี้เติบโตดีในระยะข้างหน้า