ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้สรุปคำถาม-คำตอบ แนวนโยบายการกำกับดูแล Digital Currency หรือ คริปโทเคอร์เรนซี่ ประเภท Stablecoins ที่มีเงินหนุนหลัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้สรุปคำถาม-คำตอบ แนวนโยบายการกำกับดูแล Digital Currency หรือ คริปโทเคอร์เรนซี่ ประเภท Stablecoins ที่มีเงินหนุนหลัง ดังนี้
Q1: จากข่าว ธปท. ที่ระบุว่า THT ซึ่งเป็น Algorithmic stablecoin ผิดกฎหมาย ในส่วนของนักลงทุนจะทราบได้อย่างไรว่า มี Algorithmic stablecoin ใดอีกบ้าง ที่ผิดกฎหมาย
A1: ธปท. พิจารณาว่า THT ซึ่งเป็น Algorithmic stablecoin ผิดกฎหมาย เนื่องจาก THT มีการกำหนดหน่วยแสดงค่าเป็นบาท และกำหนดมูลค่าให้ 1 เหรียญเท่ากับ 1 บาท ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่พิจารณาได้ว่า THT ถูกทำขึ้นมาเพื่อให้ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แทนเงินบาทซึ่งออกโดย ธปท.
ดังนั้น THT จึงเข้าข่ายเป็นวัตถุหรือเครื่องหมายแทนเงินตรา ซึ่งการทำ จำหน่าย ใช้ หรือนำ THT ออกใช้ ย่อมผิดกฎหมายมาตรา 9 พ.ร.บ. เงินตรา พ.ศ. 2501
ทั้งนี้ หากมี Algorithmic stablecoin อื่น ๆ ที่มีลักษณะและมีปัจจัยที่แสดงให้เห็นพฤติการณ์ที่จะนำมาใช้แทนเงินบาทและทำให้เกิดการแบ่งแยกระบบเงินตราของประเทศไทยออกไปมากกว่าหนึ่งระบบในทำนองเดียวกันกับ THT ก็จะเข้าข่ายผิดกฎหมายข้างต้นเช่นเดียวกัน
ในส่วนของนักลงทุนนั้น ขอให้ใช้ความระมัดระวังในการดำเนินการเกี่ยวกับ stablecoin ประเภทนี้ โดยควรทำธุรกรรมกับผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจาก กลต. หรือทำการซื้อหรือขาย cryptocurrency ที่ปรากฎใน exchange ที่ได้รับอนุญาตจาก กลต. เท่านั้น
Q2: ทำไม Terra ถึงเลือกอ้างอิงมูลค่ากับสกุลเงินบาท ทั้ง ๆ ที่มีเงินตราอีกหลากหลายสกุลในโลก
A2: ทาง Terra มีการอ้างอิงหลายสกุลเงิน ไม่ใช่แค่อ้างอิงเฉพาะสกุลเงินบาท อย่างไรก็ตาม ธปท. ห่วงใยสำหรับเหรียญที่นำมาใช้ทดแทนเงินบาท เนื่องจากอยู่ในขอบเขตการกำกับดูแลของ ธปท. และอยู่ในในมิติของการคุ้มครองประชาชนที่ ธปท. ให้ความสำคัญ
Q3: สำหรับเหรียญที่มีเงินหนุนหลัง ธปท. จะกำกับอย่างไร
A3: ผู้ประกอบธุรกิจที่จะออกเหรียญมาใช้เป็นสื่อในการชำระเงิน จะต้องเข้ามาหารือ ธปท. เพื่อพิจารณาก่อนเริ่มดำเนินการ ซึ่งก็จะมีการหารือกันในรายละเอียดและกำหนดแนวทางการกำกับดูแลที่เหมาะสม เช่น สำหรับ Stablecoin ประเภทที่มีเงินบาทหนุนหลัง (Baht-backed Stablecoin)
ที่ใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงิน ซึ่งอาจมีลักษณะเข้าข่ายเป็นบริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ภายใต้ พ.ร.บ. ระบบการชำระเงิน พ.ศ. 2560 ธปท. จะกำกับดูแลลักษณะเดียวกับ e-Money และกำกับความเสี่ยงที่เพิ่มเติมในมิติต่างๆ ได้แก่ ด้านการชำระราคา ด้านการฟอกเงิน ด้านความปลอดภัยทางเทคโนโลยี และด้านการคุ้มครองผู้ใช้บริการ เป็นต้น
Q4: ปัจจุบันได้มีผู้ประกอบการมาหารือ ธปท. ในการออกเหรียญทำคริปโทเคอร์เรนซีบ้างหรือไม่ จำนวนกี่ราย เป็นการออกเหรียญในลักษณะใด
A4: มีผู้ให้ความสนใจเข้ามาหารือหลายราย ซึ่งยังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงปรับรูปแบบให้ตอบโจทย์ผู้ใช้ และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ธปท. กำกับดูแล ในขณะที่ ธปท. ได้ติดตามพัฒนาการของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในภาคการเงินอย่างใกล้ชิด พิจารณาถึงประโยชน์และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมากำหนดนโยบายที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินของประเทศ
Q5: Stablecoin แตกต่างกับ e-Money อย่างไร และจะมีประโยชน์มากกว่า e-Money อย่างไร
A5: มีความแตกต่างในกลไกที่อยู่เบื้องหลังของ Stablecoins ที่แตกต่างจาก e-Money เช่น Stablecoin สามารถใส่ smart contact ที่ทำให้เกิดการต่อยอดนวัตกรรมและการให้บริการทางการเงินได้
Q6: เกณฑ์การกำกับดูแล Stablecoin จะออกได้เมื่อไหร่
A6: ธปท. จะมีการออก Consultative paper เพื่อรับฟังความเห็นก่อนพิจารณาแนวทางกำกับดูแลต่อไป ซึ่งคาดว่าจะออกเกณฑ์การกำกับดูแลภายในปีนี้
Q7: สำหรับคริปโทเคอร์เรนซี กรณีที่มีการนำเหรียญคริปโทเคอเรนซีไปใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการที่ร้านค้า สามารถทำได้หรือไม่
A7: กรณี Stablecoin ประเภทที่มีเงินบาทหนุนหลัง (Baht-backed Stablecoin) ที่ใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงิน ธปท. จะกำกับดูแลลักษณะเดียวกับการกำกับดูแลการให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ภายใต้ พ.ร.บ. ระบบการชำระเงิน พ.ศ. 2560 โดยอาจกำหนดเงื่อนไขในการให้บริการ เพื่อดูแลความเสี่ยงในมิติต่าง ๆ โดยผู้ที่ประสงค์จะให้บริการในลักษณะดังกล่าวจะต้องหารือกับ ธปท. เพื่อพิจารณาก่อนเริ่มดำเนินการ หากไม่ขออนุญาตถือว่ามีความผิด
กรณีของการใช้คริปโทเคอร์เรนซีที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท. ในการชำระค่าสินค้าและบริการ มีลักษณะที่มีการแลกเปลี่ยนกันเอง ซึ่งคู่สัญญาที่ตกลงแลกเปลี่ยนกันเองก็จะต้องยอมรับความเสี่ยงเอง (On your own risk)
Q8 ขอทราบ timeline และแผนดำเนินการของ CBDC
A8: ธปท. มี CBDC 2 รูปแบบ คือ wholesale CBDC ซึ่งใช้ในระดับสถาบันการเงิน และ retail CBDC สำหรับภาคประชาชน โดย ธปท. เริ่มศึกษาและพัฒนา wholesale CBDC ตั้งแต่ปี 2018 และได้ต่อยอดจนสู่การพัฒนาระบบการโอนระหว่างประเทศร่วมกับ ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (CBUAE) และสถาบันศึกษาสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PBC DCI) นอกจากนี้ ในปี 2564-2565 ธปท. มีแผนที่จะศึกษาและพัฒนา retail CBDC โดยในต้นเดือนเมษายนจะมีออก Direction paper เพื่อระบุถึงแนวทางของการพัฒนา CBDC เบื้องต้น และเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาต่อไป