52% ของเทคโนโลยีไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ในที่ทำงานของไทยยังล้าหลัง

      – บุคลากรฝ่ายรักษาความปลอดภัยชี้
เทคโนโลยีที่ใช้อยู่ขาดความน่าเชื่อถือและมีความซับซ้อน

      – บริษัทต่างๆ
เตรียมลงทุนในสถาปัตยกรรมใหม่ด้านการรักษาความปลอดภัย เช่น
Zero Trust และ
SASE

ซิสโก้เผยแพร่รายงานผลการศึกษาเกี่ยวกับผลลัพธ์ด้านการรักษาความปลอดภัย ฉบับที่ 2
(
Security Outcomes Study
Volume 2) ซึ่งระบุว่า บริษัทต่างๆ
ในไทยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีและโซลูชั่นรุ่นใหม่ใน “โครงสร้างพื้นฐานของไซเบอร์ซีเคียวริตี้”
โดยผลการศึกษาเผยว่า 52
เปอร์เซ็นต์ของเทคโนโลยีไซเบอร์ซีเคียวริตี้ที่ใช้งานอยู่ในบริษัทต่างๆ
ของไทยจัดว่าล้าสมัย ตามความเห็นของบุคลากรฝ่ายรักษาความปลอดภัย
ที่ทำงานอยู่ในองค์กรเหล่านั้น

 

รายงานดังกล่าวอ้างอิงผลการสำรวจความคิดเห็นของบุคลากรฝ่ายรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวกว่า
5,100 คนใน 27 ประเทศทั่วโลก รวมถึงบุคลากรกว่า 2,000 คนใน 13
ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
ผลการศึกษานี้มุ่งที่จะค้นหาแนวทางและมาตรการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับการปกป้ององค์กรให้ปลอดภัยจากสถานการณ์ภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง  ผู้ตอบแบบสอบถาม รวมถึงบุคลากรจากบริษัทต่างๆ
ในประเทศไทย ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางของตนเองสำหรับการอัพเดต
และบูรณาการสถาปัตยกรรมด้านการรักษาความปลอดภัย การตรวจจับ การตอบสนองต่อภัยคุกคาม
และการกู้คืนระบบในกรณีที่เกิดปัญหา

 

นอกจากนี้
ผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทยระบุว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันขาดความน่าเชื่อถือ
(43 เปอร์เซ็นต์) และมีความซับซ้อน (28 เปอร์เซ็นต์)

แต่ข่าวดีก็คือ บริษัทต่างๆ
ในไทยมีแผนที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีไซเบอร์ซีเคียวริตี้ที่ทันสมัย
รวมไปถึงแนวทางใหม่ๆ
ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบรักษาความปลอดภัยขององค์กร  ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามในไทยกว่า 9 ใน 10 คน
(93 เปอร์เซ็นต์) เปิดเผยว่า บริษัทของตนมีแผนที่จะลงทุนในแนวทาง ‘
Zero Trust’ โดย
57 เปอร์เซ็นต์ระบุว่า
องค์กรของตนมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องในการปรับใช้แนวทางดังกล่าว ขณะที่ 36
เปอร์เซ็นต์ระบุว่า องค์กรของตนได้ปรับใช้แนวทางนี้อย่างกว้างขวาง  นอกจากนั้น ผู้ตอบแบบสอบถาม 93
เปอร์เซ็นต์เปิดเผยว่า บริษัทของตนมีแผนที่จะลงทุนในสถาปัตยกรรม
Secure Access Service Edge (SASE) โดย
55 เปอร์เซ็นต์ระบุว่า มีความคืบหน้าที่ดีในการปรับใช้สถาปัตยกรรมที่ว่านี้ ขณะที่
38 เปอร์เซ็นต์ระบุว่า
มีการใช้งานสถาปัตยกรรมดังกล่าวในระดับที่พัฒนาอย่างเต็มที่แล้ว

เทคโนโลยีทั้งสองส่วนนี้ถือเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งสำหรับองค์กรธุรกิจในโลกยุคใหม่ที่มุ่งเน้นการใช้ระบบคลาวด์และแอปพลิเคชันเป็นหลัก
ทุกวันนี้องค์กรต่างๆ
ต้องเผชิญกับปัญหาท้าทายมากมายในการดำเนินงานในสภาพแวดล้อมดังกล่าว เช่น
ความยุ่งยากซับซ้อนในการเชื่อมต่อผู้ใช้เข้ากับแอปพลิเคชันและข้อมูลบนแพลตฟอร์มคลาวด์ที่หลากหลาย
นโยบายด้านความปลอดภัยที่ไม่สอดคล้องกันบนตำแหน่งที่ตั้งและเครือข่ายที่แตกต่างกัน
ความยากลำบากในการตรวจสอบอัตลักษณ์ของผู้ใช้งานและอุปกรณ์
การที่องค์กรไม่สามารถตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานด้านการรักษาความปลอดภัยได้อย่างทั่วถึง
เป็นต้น

สถาปัตยกรรม SASE ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาท้าทายเหล่านี้
เพราะ
SASE ผสานรวมฟังก์ชั่นการทำงานของระบบเครือข่ายและระบบรักษาความปลอดภัยเข้าไว้ในแพลตฟอร์มคลาวด์
เพื่อรองรับการเข้าถึงแอปพลิเคชันอย่างปลอดภัย
ไม่ว่าผู้ใช้จะทำงานอยู่ที่ใดก็ตาม 
ขณะเดียวกัน แนวทาง
Zero-Trust
เป็นแนวคิดที่เรียบง่ายซึ่งเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบอัตลักษณ์ของผู้ใช้งานและอุปกรณ์ทั้งหมดในทุกๆ
ครั้งที่มีการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายขององค์กร
เพื่อลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

 

สถาปัตยกรรมด้านการรักษาความปลอดภัยบนระบบคลาวด์มีคุณประโยชน์อย่างมาก
โดยจากผลการสำรวจพบว่า องค์กรที่มีการใช้งานสถาปัตยกรรม
Zero Trust หรือ
SASE ในระดับที่พัฒนาอย่างเต็มที่แล้ว
มีแนวโน้มที่มีการดำเนินงานด้านการรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งมากกว่า 35%
เมื่อเทียบกับองค์กรที่เพิ่งปรับใช้สถาปัตยกรรมดังกล่าวในระดับเริ่มต้น

เคอร์รี่ ซิงเกิลตัน
กรรมการผู้จัดการฝ่ายไซเบอร์ซีเคียวริตี้ของซิสโก้ ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
ญี่ปุ่น และจีน กล่าวว่า “องค์กรธุรกิจทั่วโลก รวมถึง ‘ประเทศไทย’
ได้เจอกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรูปแบบการดำเนินงาน
ที่เป็นผลมาจากการแพร่ระบาด 
ขณะที่องค์กรเหล่านี้ต้องวุ่นวายกับความเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน เช่น
การที่พนักงานจำนวนมากจำเป็นต้องทำงานจากที่บ้าน
การติดต่อสื่อสารและการทำธุรกรรมที่ใช้ช่องทางดิจิทัลเป็นหลัก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่องค์กรจะต้องสามารถเชื่อมต่อผู้ใช้เข้ากับแอปพลิเคชันและข้อมูลที่ต้องใช้งานได้อย่างไร้รอยต่อในทุกสภาพแวดล้อม
ไม่ว่าผู้ใช้จะอยู่ที่ใดก็ตาม
ขณะเดียวกันก็ต้องสามารถควบคุมการเข้าถึงและบังคับใช้มาตรการป้องกันด้านความปลอดภัยที่เหมาะสม
โดยครอบคลุมเครือข่าย อุปกรณ์ และสถานที่ตั้งทั้งหมด”

 

ฮวน ฮวด คู
ผู้อำนวยการฝ่ายไซเบอร์ซีเคียวริตี้ของซิสโก้ ประจำภูมิภาคอาเซียน กล่าวเสริมว่า
“สภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบันถูกขับเคลื่อนด้วยระบบดิจิทัล ดังนั้นบริษัทต่างๆ
จึงต้องดำเนินการปรับปรุงไซเบอร์ซีเคียวริตี้อย่างจริงจัง  รายงานฉบับล่าสุดของซิสโก้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่ดีเยี่ยมแก่บุคลากรฝ่ายรักษาความปลอดภัยในเรื่องที่เกี่ยวกับแนวทางและเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับการสร้างระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง
ในขณะที่ยังคงให้ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ราบรื่น
ซึ่งจะช่วยให้บุคลากรเหล่านี้มีทิศทางการทำงานที่ชัดเจนสำหรับการปกป้ององค์กรธุรกิจและผู้ใช้งานให้ปลอดภัย”

 

รายงานดังกล่าวยังให้ข้อมูลระดับโลกที่สำคัญดังต่อไปนี้ :

        • องค์กรที่ใช้ข้อมูลข่าวกรองด้านภัยคุกคามมีค่าเวลาเฉลี่ยของการซ่อม
(
Mean Time to Repair –
MTTR) ที่รวดเร็วกว่า โดยค่าเวลาดังกล่าวต่ำกว่า 50%
เมื่อเทียบกับองค์กรที่ไม่ได้ใช้ข้อมูลข่าวกรอง

        • องค์กรที่ใช้เทคโนโลยีแบบครบวงจรมีแนวโน้มที่จะสร้างกระบวนการอัตโนมัติขั้นสูงได้มากขึ้น
7 เท่า  นอกจากนั้น
องค์กรเหล่านี้ยังมีความสามารถด้านการตรวจจับภัยคุกคามที่แข็งแกร่งมากกว่าถึง 40%

        • ระบบอัตโนมัติ
(
Automation) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานที่มีประสบการณ์น้อยได้มากขึ้นสองเท่า
และช่วยให้องค์กรแก้ไขปัญหาการขาดแคลนทักษะและบุคลากร

        • ขณะที่สถานการณ์ภัยคุกคามมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
การทดสอบความสามารถด้านการรักษาความต่อเนื่องในการดำเนินงานและการกู้คืนระบบอย่างสม่ำเสมอโดยใช้วิธีการที่หลากหลายนับว่ามีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
โดยองค์กรที่ใช้แนวทางเชิงรุกมีแนวโน้มที่จะรักษาความยืดหยุ่นของธุรกิจได้มากขึ้น
2.5 เท่า

        • องค์กรที่มีการกำกับดูแลในระดับคณะกรรมการบริหารในเรื่องที่เกี่ยวกับการรักษาความต่อเนื่องในการดำเนินงาน
และการกู้คืนระบบภายใต้ความรับผิดชอบของทีมงานฝ่ายไซเบอร์ซีเคียวริตี้มีผลประกอบการที่ดี

 

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ cisco.com/go/SecurityOutcomes2
และเข้าร่วมการสนทนาโดยใช้แฮชแท็ก
#SecurityOutcomes